ทำไมการตอบสนองของ AI บางระบบจึงรวดเร็ว… ขณะที่บางระบบกลับเชื่องช้า?
เราอาจเคยสัมผัส chatbot ที่ตอบแทบจะทันที และก็เคยหงุดหงิดกับบางระบบที่นิ่งสนิทนานนับวินาที ความแตกต่างนั้นเกิดจากอะไร?
และถ้าคำตอบคือ “โครงสร้างการประมวลผลเบื้องหลัง” มันกำลังบอกอะไรเกี่ยวกับอนาคตของการใช้งาน AI จริงจังในระดับองค์กร?
เมื่อเราเอ่ยถึงระบบอย่าง LLM หรือ Large Language Models สิ่งที่ซ่อนอยู่คือกลไกที่ซับซ้อนระดับการจำลองกระบวนการคิดของมนุษย์ แต่ละคำที่ถูก generate ไม่ได้เกิดขึ้นทันที มันต้องอาศัยพลังประมวลผลระดับสูงจาก GPU เพื่อคาดเดาคำถัดไป ทุก token คือต้นทุน และทุกคำตอบคือผลลัพธ์ของระบบพยากรณ์อันละเอียดอ่อน
What exactly is vLLM? มันคือ library ที่ถูกออกแบบมาเฉพาะสำหรับงาน inference ของ LLM โดยมีเป้าหมายเพื่อเร่งความเร็วและลดการใช้หน่วยความจำในการให้บริการโมเดลขนาดใหญ่ ทีมวิจัยจาก UC Berkeley พัฒนา vLLM เพื่อแก้ปัญหาคอขวดของระบบเสิร์ฟ LLM แบบเดิม ทั้งในแง่ของ throughput และ memory efficiency
โดยเฉพาะในส่วนของ KV cache ซึ่งเป็นหัวใจของ attention mechanism แบบ transformer ที่กินหน่วยความจำมาก และยากต่อการจัดการในระบบจริง vLLM แก้ปัญหานี้ด้วยเทคนิคใหม่ชื่อ PagedAttention ที่ช่วยจัดการข้อมูลแบบ dynamic ช่วยให้ throughput สูงขึ้น รองรับการใช้งานพร้อมกันจำนวนมากได้ดีกว่า framework ทั่วไป
VLLM คือความพยายามลดความซับซ้อนนี้ให้ “เร็วขึ้น และเบาขึ้น” โดยไม่เสียความแม่นยำ VLLM ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือเสริม แต่คือโครงสร้างพื้นฐานแบบใหม่ที่ช่วยให้ การทำ inference ของโมเดล AI กลายเป็นเรื่องที่ปรับขยายได้จริง
เบื้องหลัง VLLM มี algorithm สำคัญที่เรียกว่า Paged Attention โดยแนวคิดคือการแบ่งหน่วยความจำแบบ KV cache (Key-Value cache) ออกเป็นหน้า (pages) คล้ายกับระบบ virtual memory ของคอมพิวเตอร์ เพื่อให้สามารถเข้าถึงเฉพาะสิ่งที่จำเป็น ณ ขณะนั้น
แทนที่จะต้องเก็บข้อมูลทั้งหมดแบบต่อเนื่องในหน่วยความจำ Paged Attention ทำให้สามารถใช้งานหน่วยความจำอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดการสิ้นเปลือง และหลีกเลี่ยง memory fragmentation
อีกหนึ่งองค์ประกอบสำคัญคือ Continuous Batching ระบบนี้เปิดทางให้ VLLM สามารถจัดการกับ request ที่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง ไม่ต้องรอ batch เต็มก่อนเหมือนระบบทั่วไป แต่สามารถแทรกการประมวลผลได้ทันทีที่ sequence ใด sequence หนึ่งเสร็จสิ้น
การเปลี่ยนวิธีคิดจาก batch-based processing สู่ continuous flow ทำให้การใช้ GPU เต็มประสิทธิภาพมากขึ้น ลดเวลา latency อย่างมีนัยสำคัญ และเปิดประตูสู่ การใช้งานในระดับ production ที่ต้องรองรับผู้ใช้นับพันพร้อมกัน
การออกแบบเชิงลึกของ VLLM ไม่ได้แก้เพียงจุดใดจุดหนึ่ง แต่มันคือการปรับกระบวนทัศน์ของการ serve LLM ให้กลายเป็นงานระบบ ไม่ใช่งานทดลอง
กรณีศึกษาที่น่าสนใจคือ benchmark ที่เผยแพร่โดยทีมพัฒนา VLLM จาก UC Berkeley พบว่า throughput เพิ่มขึ้นถึง 24 เท่า เมื่อเทียบกับระบบ Text Generation Inference (TGI) ซึ่งเป็นหนึ่งใน framework ยอดนิยมของ Hugging Face
ผลลัพธ์ดังกล่าวไม่เพียงแต่สะท้อนประสิทธิภาพทางเทคนิค แต่ยังบอกเป็นนัยว่า โครงสร้างพื้นฐานของการใช้ AI กำลังต้องการการออกแบบใหม่
ซึ่งไม่ใช่เพียงการ optimize แต่เป็นการ re-architect ตั้งแต่รากฐาน
VLLM ยังมีฟีเจอร์รองรับ model แบบ quantized ช่วยลดขนาด model โดยยังคงความแม่นยำระดับสูง อีกทั้งรองรับหลากหลาย architecture ตั้งแต่ LLaMA, Mistral, ไปจนถึง Granite ทำให้มันกลายเป็นแพลตฟอร์มที่เปิดกว้างและ พร้อมต่อการนำไปใช้งานจริง
สุดท้าย… ประสิทธิภาพของ LLM จะไม่ใช่เพียงเรื่องของ model แต่คือเรื่องของ กลไกเบื้องหลังที่มองไม่เห็น
สิ่งที่เรียกว่า VLLM คือคำตอบหนึ่ง ที่ไม่ได้มุ่งสร้างความเร็วเพื่อความว้าว แต่มุ่งสร้างความเสถียรเพื่ออนาคต
ในวันที่การ deploy AI สู่โลกจริงคือโจทย์สำคัญ เราอาจต้องถามว่า: เรากำลังใช้เครื่องมือที่เข้าใจบริบทจริงของ production แล้วหรือยัง?