Vibe Coding: เมื่อการเขียนโค้ดกลายเป็นภาษาธรรมชาติในยุค AI
ถ้า AI เขียนโค้ดได้ เรายังต้องเรียนเขียนโค้ดอยู่หรือเปล่า?
คำถามที่ฟังเหมือนเรียบง่ายนี้ กลับสะท้อนถึงรอยต่อสำคัญระหว่างทักษะมนุษย์กับความสามารถของ AI ในยุคที่ “Vibe Coding” กำลังเข้ามาเปลี่ยนแปลงโลกของการพัฒนา
ศาสตราจารย์แอนดรูว์ เอ็นจี จากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด หนึ่งในผู้ทรงอิทธิพลด้าน AI กล่าวในงานสัมมนา LangChain Interrupt ว่า เขาไม่อยากกลับไปเขียนโค้ดแบบเดิมโดยไม่มี AI อีกต่อไป และมองว่าแนวโน้มของ Vibe Coding นั้นจะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ
แม้เขาจะยอมรับว่าชื่อ “Vibe Coding” ฟังดูเบาและอาจทำให้คนเข้าใจผิดว่าไม่ต้องคิด แต่เขากล่าวว่า “Vibe Coding เป็นกิจกรรมที่ใช้ความคิดมาก”
โดยเฉพาะเมื่อต้องทำงานร่วมกับ AI ตลอดทั้งวัน
คำว่า Vibe Coding หมายถึงภาวะที่ผู้เขียนโค้ดสามารถดื่มด่ำกับการทำงานร่วมกับ AI ได้อย่างเต็มที่ จนแทบไม่ต้องคิดเรื่องโค้ดแบบโครงสร้างเดิมอีกเลย
คำนี้ปรากฏครั้งแรกในเดือนกุมภาพันธ์โดย Andrei Karpathy ผู้ร่วมก่อตั้ง OpenAI ซึ่งชี้ว่าแนวโน้มใหม่นี้ทำให้นักพัฒนาสามารถ “ลืมไปว่าโค้ดหน้าตาเป็นอย่างไร” และเน้นไปที่การสื่อสารกับ AI ด้วยภาษาแบบธรรมชาติมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ศาสตราจารย์เอ็นจีเตือนว่า การเลิกเรียนเขียนโค้ดเป็นความเข้าใจผิดอย่างร้ายแรง โดยระบุว่า “นั่นเป็นคำแนะนำที่แย่ที่สุดที่ผมเคยได้ยิน”
เขาอธิบายว่าการเข้าใจการทำงานของคอมพิวเตอร์แม้เพียงเล็กน้อย จะช่วยให้สามารถสั่งงาน AI ได้อย่างแม่นยำ และนั่นคือเหตุผลที่เขายังแนะนำให้เรียนรู้ภาษาอย่าง Python
ไม่ใช่แค่นักพัฒนาเท่านั้น แต่ CFO, ที่ปรึกษาทางกฎหมาย หรือแม้แต่พนักงานต้อนรับในบริษัทของเขาก็เขียนโค้ดได้ในระดับหนึ่ง เพื่อช่วยให้พวกเขาทำงานร่วมกับ AI ได้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
เขาเชื่อว่า ความสามารถในการสื่อสารกับคอมพิวเตอร์ จะกลายเป็นหนึ่งในทักษะสำคัญของอนาคต โดยไม่จำเป็นต้องเป็นวิศวกร แต่ต้องสามารถบอกให้คอมพิวเตอร์ทำงานแทนได้อย่างชัดเจน
ในช่วงท้าย ศาสตราจารย์เอ็นจียังกล่าวว่า “ศักยภาพของแอปพลิเคชันเสียงถูกประเมินต่ำเกินไป”
พร้อมแสดงความคาดหวังต่อผู้ช่วยเสียง AI ว่าจะมีบทบาทที่ใหญ่ขึ้นในระบบการทำงานยุคใหม่