Content Is Still King เมื่ออำนาจไม่ได้อยู่ที่ใครพูดดัง แต่ใครพูดได้ใจ
ทุกครั้งที่วงการเปลี่ยน คนที่ตั้งคำถามใหม่ก่อนมักจะอยู่รอด. และในวันที่ AI เริ่มพูดแทนเราได้แทบทุกอย่าง คำถามที่น่าถามไม่ใช่ “เขียนอะไรดี” แต่คือ “เราจะพูดยังไงให้เขาอยากฟังซ้ำ?”
AI อาจตอบคำถามเร็วขึ้น ตรงประเด็นขึ้น แต่ content ที่กระทบใจคนไม่ใช่แค่การตอบถูก. มันคือ การทำให้คนรู้สึกว่าเขาถูกเข้าใจ. และนั่นคือสิ่งที่ content creator ยังได้เปรียบ.
ในวันที่ search traffic ไม่ไหลเข้ามาอัตโนมัติ เราต้องกลับมาถามว่า “ถ้าไม่มี Google วันนี้ คนจะมาเจอเราได้ยังไง?” นั่นอาจหมายถึง การสร้างชุมชนที่เลือกฟังเรา
มากกว่าการหวังให้ใครสักคนพิมพ์คำในช่องค้นหา.
ตัวอย่างที่น่าสนใจคือ “The Browser” จดหมายข่าวที่คัดบทความลึกซึ้งจากทั่วโลกโดยไม่มี AI ช่วย. เขาไม่เขียนเนื้อหาเองเลย แต่มีคนสมัครสมาชิกรายปีเพื่อให้ curated content พาเขาไปพบสิ่งที่ไม่เคยรู้ว่าตัวเองอยากอ่าน. ไม่ใช่ SEO แต่คือ Trust.
อีกตัวอย่างคือนักเขียนนามปากกาใน Substack ที่เล่าเรื่องชีวิตธรรมดาแต่ลึกจนคนรู้สึกเหมือนกำลังได้คุยกับเพื่อน. ไม่เคยมีหัวข้อที่กำลังฮิต แต่มีหัวใจที่กำลังอยากฟัง
.
แล้วเราจะปรับตัวยังไง ในวันที่ใครก็เป็น content creator ได้?
ทางหนึ่งคือการหาวิธีคิดใหม่ เช่น แทนที่จะถามว่า “จะเขียนให้ใครอ่าน” ให้ลองถามว่า “จะให้ใครรู้สึก”. มันจะเปลี่ยน tone ของทุกคำ มันจะเปลี่ยนว่าคุณเล่าแบบไหน ใช้ภาษาแบบไหน และจะไม่ยอมให้ prompt ที่ดีมาทดแทนความรู้สึกจริง.
อีกแนวทางที่คาดไม่ถึงคือ “ใช้ AI สร้างโครง แล้วให้คนมาเติมความรู้สึก.” บางทีมันไม่ใช่แค่ทำคนเดียวเก่ง แต่คือเปิดพื้นที่ให้ผู้อ่านกลายเป็นผู้ร่วมสร้าง. บางแบรนด์ใช้ Discord หรือ LINE OpenChat เชิญคนมาตั้งคำถามก่อน แล้วเอาคำตอบไปทำบทความภายหลัง เริ่มจากบทสนทนา ไม่ใช่จาก Keyword.
“ในโลกที่ทุกอย่างไวขึ้น ความสัมพันธ์คือสิ่งที่ยังต้องใช้เวลาเหมือนเดิม”
ถ้าคุณยังมีเนื้อหาที่พูดกับคนจริง ๆ ได้ ยังมีคนที่รออ่าน รอฟัง รอรู้สึก คุณยังเป็น king เพียงแต่บัลลังก์อาจไม่ได้อยู่ใน Google อีกต่อไป.
Content is still king but not by algorithm, by attention. และ attention นี้…ต้องได้มาด้วยความจริงใจ ไม่ใช่แค่ optimization.
“คุณไม่ได้เขียนเพื่อให้คนเจอ แต่เพื่อให้คนจำ”
. และถ้าใครสักคนยังจำคุณได้ นั่นคือชัยชนะที่ไม่มี search engine ไหนให้ได้.