ไม่สามารถใช้ AI ก็จะไม่มีงานทำจริงหรือ?
เมื่อองค์กรให้น้ำหนักทักษะ AI มากกว่าประสบการณ์ ใครที่ยังไม่เริ่มต้นจะอยู่ตรงไหน?
AI ไม่ใช่แค่เทคโนโลยีเสริมอีกต่อไป แต่คือแกนกลางของโครงสร้างการทำงานสมัยใหม่ หลายองค์กรเลิกพึ่งประสบการณ์เดิม และหันมาให้ความสำคัญกับทักษะการใช้ AI อย่างมีประสิทธิภาพ
รายงานจากกลุ่มเทคโนโลยีในเอเชียตะวันออกระบุว่า กว่า 80% ขององค์กรใช้งานหรือเตรียมใช้งาน AI ภายใน 12 เดือน โดยเริ่มจากแผนกที่วัดผลได้ชัดเจน เช่น การตลาด บริการลูกค้า และงานเอกสาร
เกือบครึ่งขององค์กรเหล่านี้ ใช้ทักษะ AI เป็นเกณฑ์หลักในการคัดเลือกบุคลากร ตั้งแต่การเขียน prompt ไปจนถึงการออกแบบ workflow เชื่อมระบบอัตโนมัติ
AI ไม่ได้แย่งงาน แต่มันเปลี่ยนโจทย์จาก “ใครทำได้” เป็น “ใครทำได้เร็วและแม่นยำกว่า ด้วย AI”
ตัวอย่างจากบริษัทอสังหาริมทรัพย์ในโซล พนักงานขายต้องใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าและสร้างสคริปต์นำเสนอเฉพาะบุคคล หากไม่ผ่านภายใน 90 วัน จะถูกปรับเปลี่ยนบทบาททันที
ในองค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยความเร็ว ความแม่นยำ และการทำงานข้ามสาย ทักษะ AI มีน้ำหนักมากกว่าปริญญาหรืออายุงาน
คำถามสำคัญไม่ใช่แค่ “คุณรู้เรื่องอะไร” แต่คือ “คุณใช้ AI เสริมพลังความรู้ของคุณอย่างไร”
องค์กรชั้นนำเริ่มแต่งตั้งตำแหน่งใหม่ เช่น Prompt Strategist, AI Process Lead และ Knowledge Flow Architect เพื่อผสาน AI สู่ระบบงานอย่างถาวร
ผู้ที่ยังไม่ใช้ AI อาจยังมีที่ยืนวันนี้ แต่เส้นทางโอกาสในอนาคตอาจค่อย ๆ ปิดลงโดยไม่มีสัญญาณเตือน
อย่างไรก็ตาม โอกาสในการเรียนรู้ AI ยังไม่เท่าเทียม เครื่องมือ ทรัพยากร และเวลายังคงขึ้นกับบริบทเศรษฐกิจและสังคม
หลายประเทศจึงเริ่มลงทุนในนโยบายสนับสนุน เช่น เปิดหลักสูตร AI ฟรีสำหรับแรงงาน และมอบสิทธิประโยชน์ทางภาษีให้กับองค์กรที่ลงทุนในการ reskill อย่างเป็นระบบ
ถ้า AI คือภาษากลางของโลกงาน ระบบที่ยั่งยืนต้องเปิดให้ทุกคนเรียนรู้ได้ ไม่ใช่เพียงคนที่มีทุนพร้อม
ท้ายที่สุด เส้นแบ่งในโลกงานยุคใหม่ไม่ใช่ตำแหน่งหรืออุตสาหกรรม แต่คือความสามารถในการเข้าใจและใช้งาน AI — แล้วเราจะเลือกใช้มันเพื่อขยายโอกาส หรือปล่อยให้มันกลายเป็นเครื่องมือคัดกรองโดยไม่ตั้งใจ